เมื่อพูดถึง ”น้ำอัดลม” พวกเราก็คงจะถึงคิงน้ำหวานๆ ซ่าๆ ที่เวลากินแล้วชื่นใจสินะครับ แล้วถ้าพูดถึง “ออกกำลังกาย” เพื่อนๆก็คงจะคิดถึงการวิ่ง การเล่นกีฬาต่างๆ แต่ถ้าผมบอกว่า “การกินน้ำอัดลมที่ไม่มีแก๊สช่วยให้ออกกำลังกายได้ดีขึ้น” เพื่อนๆคงจะไม่เชื่อกันใช่ไหมครับ แต่รู้หรือไม่? ว่าเรื่องนี้มีการวิจัยยืนยันว่ามันจริง ทางเรา Ballteng88 จะพาทุกคนไปอ่านกันครับ
อร่อยแต่ให้โทษ
เวลาที่เราจะออกกำลังกาย แน่นอนสิ่งที่เราต้องงดอย่างแรกก็คือ “น้ำอัดลม” เป็นที่รู้กันทุกคนว่าการดิ่มน้ำอัดลมที่บรรจุในกระป๋องขนาด 325 มิลลิลิตร ก็มีปริมาณน้ำตาลสูง 35-40 กรัม หรือง่ายๆคือการดื่มน้ำอัดลม 1 กระป๋อง ร่างกายจะได้รับน้ำตาลเกินความจำเป็นกว่าที่ร่างกายต้องการได้รับ ( ปกติร่างกายผู้ใหญ่ไม่ควรบริโภคน้ำตาลเกินวันละ 24-32 กรัมต่อวัน ) แถมยังเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ก่อให้เกิดโรคร้ายมากมาย ดังนี้
โรคอ้วน : มีการวิจัยและการทดลองมากกว่า 30 งาน พบว่าการดื่มน้ำอัดลมเยอะๆ จะทำให้เกิดความเสี่ยงที่จพเป็นโรคอ้วนหรือภาวะน้ำหนักเกิน
เบาหวาน : ด้วยปริมาณน้ำตาลที่เยอะมากอยู่แล้วเลยเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคเบาหวานอีกด้วย
โรคหัวใจ : การดื่มน้ำอัดลมที่มีน้ำตาลเป็นประจำ มีความเสี่ยงที่ก่อให้เกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ และยังส่งผลให้ระดับไขมันในร่างกายเพิ่มมากขึ้น ส่วนในเครื่องดื่มน้ำอัดลมที่ใช้สารทดแทนน้ำตาลนั้น ยังไม่มีผลงานวิจัยที่ส่งผลกระทบต่อร่างกายของเราแต่อย่างใด
ที่กล่าวมาก็คือข้อเสียงของน้ำอัดลมที่มีส่วนผสมของน้ำตาล แล้วทำไมอยู่ถึงได้บอกว่ามันดีต่อร่างกายล่ะ? เราจะพาไปหาคำตอบกันครับ
ท่าไม้ตายเพิ่มความฟิต
ต้องย้อนไปเมื่อปี 2012 นักวิจัยจาก Australian Institute of Sport ได้สำรวจนักปั่นจักรยานชาย 19 ทีม ที่เข้าร่วมการแข่งขัน U. S. Professional Championships ปรากฏว่ามี 11 ทีม ที่ดื่มน้ำอัดลม (โค้ก) ระหว่างการแข่งขัน ส่วนอีก 7 ทีม ดื่มแค่บางคน และมีเพียง 1 ทีม ที่ไม่ดื่มน้ำอัดลมเลย
ทั้งๆที่ สารอาหารของน้ำอัดลมประเภทน้ำดำมีปริมาณคาร์โบไฮเดรตเฉลี่ยอยู่ที่ 11% แน่นอนว่ามันสูงกว่าปริมาณที่เหมาะสมสำหรับนักกีฬาที่ควรจะรับไม่ควรเกิน 9 กรัมต่อวัน
แต่ 1 ในงานวิจัยที่มีชื่อเสียง จะเป็นของทีมวิจัย Ball State University ที่นำผู้ใหญ่ 12 คน ชาย 6 คนและหญิง 6 คน อดน้ำและอาหาร 8 ชั่วโมง และนักวิจัยก็ได้แบ่งย่อยอีก 4 กลุ่ม โดยแต่ละกลุ่มจะได้ดื่มโค้ก 295 มิลลิลิตรที่ผสมคาเฟอีนในปริมาณแตกต่างกันไป เริ่มตั้งแต่ 0, 22.5, 35, และ 150 มิลลิกรัม ( ปกติโค้กกระป๋อง 325 มิลลิลิตรจะมีปริมาณคาเฟอีนอยู่ประมาณ 30-45 มิลลิกรัม ) เมื่อดื่มเสร็จนักวิจัยได้ทำการติดตามผลการทดลองการจากวัดอัตราการเต้นของหัวใจความดันโลหิตและน้ำตาลในเลือด และความเข้มข้นของกรดไขมันอิสระอย่างใกล้ชิด เป็นเวลา 6 ชั่วโมง
ผลสรุป กลุ่มที่ดื่มโค้กที่มีคาเฟอีนผสมอยู่ 150 มิลลิกรัมมีค่ำกรดไขมันอิสระเพิ่มสูงขึ้นถึง 22% ซึ่งกรดนี้ทำหน้าที่เป็นพลังงานสำรอง เมื่อไกลโคเจนในกล้ามเนื้อถูกใช้งานจนหมด ส่งผลให้นักกีฬามีความอึดขึ้นในการออกกำลังกายระยะยาวเช่น วิ่งมาราธอน หรือการปั่นจักรยาน ส่วนในกลุ่มที่ดื่มโค้กที่มีคาเฟอีน 22.5 และ 35 มิลลิกรัม ปรากฏว่าค่ากรดไขมันอิสระเพิ่มสูงขึ้น 6% เท่ากัน โดยปริมาณนี้อาจจะส่งผลให้ร่างกายฟิตขึ้นก็จริงแต่ไม่ได้เห็นผลขนาดนั้น Dive deep and reel in some big prizes with the fishin’ frenzy demo .
นอกจากเรื่องไขมันอิสระแล้ว คาเฟอีนยังมีส่วนช่วยให้กระตุ้นการปล่อยฮอร์โมนสำคัญ 2 ชนิด คือ อะดรีนาลีน และ นอร์อิพิเนฟริน และยังให้ความรู้สักกระปรี๊กระเปร่าอีกด้วย
น้ำอัดลมไม่มีแก๊ส
ถึงแม้ว่าโค้กจะมีส่วนในการเพิ่มประสิทธิภาพของการออกกำลังการแต่ใช่ว่าจะไม่มีข้อเสีย แน่นอนว่าต้องเป็นเรื่องแก๊สที่ถูกอัดแน่ไว้ในกระป๋อง ไม่ว่าจะเป็นใครก็ต้องเจอปัญหาการจุกเสียดแน่นท้องแน่นอน ดังนั้นโค้กที่นักกีฬาใช้ถึงเป็นน้ำโค้กที่ไม่มีแก๊สหลงเหลืออยู่แล้ว หรือง่ายๆคือเป็นน้ำหวานที่ผสมคาเฟอีน
แต่ปัญหาอีกเรื่องก็คือ ปริมาณคาร์โบไฮเดรตที่สูงเกินไป ดังนั้นนักกีฬาส่วนใหญ่ต้องนำน้ำเปล่ามาผสมหรือเกลือแร่ต่างๆ เพื่อให้ปริมาณคาร์โบไฮเดรตนั้นน้อยลง เสี่ยงต่อร่างกายที่จะสูญเสียน้ำมากเกินไป
สรุปแล้วโค้กคือเครื่องดื่มที่เหมาะกับการออกำกายหรือไม่?
คำตอบคือ “ไม่”
เพราะแม้ว่าโค้กจะเพิ่มประสิทธิภาพในการออกกำลังกายก็จริง แต่ก็ยังส่งผลต่อร่างกายของคุณระยะยาวอยู่ดี ดังนั้นคนทั่วไป ที่ไม่ใช่นักกีฬาอาชีพ ออกกำลังการเพื่อความสนุก ไม่มีความจำเป็นที่ต้องดื่มอยู่ดี ส่วนที่นักกีฬาอาชพเลือกดื่มก็เพราะว่า การแข่งขันของพวกเขาจริงจัง ที่มีเงินรางวัลและชื่อเสียงเป็นเดิมพัน เพื่อคว้าชัยชนะก็ยอมเสียแค่นิดหน่อยจะเป็นไรไป..