ทีมชาติ “ซาร์ลันท์” ทีมชาติที่ได้รับรองรองจากฟีฟ่า และมีสโมสรที่เคยไล่ถล่มหลายทีมจากยุโรป ถ้าพูดไปหลายคนอาจจะยังไม่รู้จัก ว่าทีมชาติอะไรกัน“ซาร์ลันท์” วันนี้ทางเรา Ballteng88 จะพาทุกท่านไปหาคำตอบกัน
ชีวิตอิสระหลังสงคราม
เรื่องนี้ต้องย้อนไปถึงช่วงจบสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่เราก็รู้กันดีว่า ประเทศเยอรมันที่เป็นฝ่ายอักษะ สุดท้ายแล้วเป็นฝ่ายแพ้สงคราม จึงทำให้ประเทศเยอรมันโดนแบ่งเป็น 2 ฝั่ง คือ “เยอรมันตะวันตก” และ “เยอรมันตะวันออก” แต่จะมีใครรู้ไหม? ว่ามีอีกประเทศ 1 กำเนิดขึ้นมาจากดินแดนเยอรมัน นั่นก็คือ “ซาร์ลันท์” ดินแดนที่มีข้อพิพาทมาตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 1
ซาร์ลันท์ คือดินแดนเล็กๆ ขนาด 2,568 ตารางกิโลเมตร ตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของเยอรมัน อยู่ดินกับพรมแดนของฝรั่งเศส โดยแต่เดิม พวกเขาเป็นส่วนหนึ่งของเยอรมัน แต่ถูกฝรั่งเศสยึดครอง และก็โดนยึดโดนนาซีเยอรมันอีกครั้งในปี 1935 และสุดท้ายในช่วงหลังจบสงครามโลกครั้งที่ 2 พวกเขาก็โดนยึดครองโดนฝรั่งเศสอีกครั้ง ในฐานะรัฐอารักขา หรือที่บ้านเราเรียกง่ายๆว่าเมืองขึ้น และรัฐนี้ก็ยังเต็มไปด้วยถ่านหิน ซึ่งเป็นแร่สำคัญของโลกในขณะนั้น
แน่นอนว่าแม้พวกเขาเป็นเมืองขึ้น แต่ในเชิงปฏิบัติ พวกเขามีสถานะเป็นกึ่งเอกราช และมีสิทธิในการปกครอง เพียงแต่อยู่ภายใต้การดูแลของฝรั่งเศส เลยทำให้ซาร์ลันท์ มีประธานาธิบดี มีรัฐธรรมนูญ มีสกุลเงินเป็นของตัวเอง และแน่นอน มีทีมฟุตบอลเป็นของตัวเอง
ความภาคภูมิใจ
การเมืองและฟุตบอลเป็นเรื่องที่อยู่คู่กันเสมอ แม้ฟีฟ่าจะบอกว่า ฟุตบอลกับการเมืองต้องแยกออกจากกัน เพราะหลังจากที่ซาร์ลันท์ ประกาศแยกตัวออกจากประเทศเยอรมัน ในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 สโมสรฟุตบอลที่ตั้งอยู่ในพื้นที่แห่งนี้ ก็ต้องตัดความสัมพันธ์กับลีกบุนเดสลีกกา และมาตั้งลีกของตัวเองที่ชื่อว่า Saarland Ehren Liga Champions
ในเวลานั้น ซาร์ลันท์ มีทีม เอฟเซ ซาร์บรูคเคน เป็นหน้าเป็นตาของคนที่นี่ แถมในเวลานั้นพวกเขายังมีนักเตะฝีเท้าดีมากมาย เฮอร์เบิร์ต บิงเกอร์ต และ เกฮาร์ด ซิเดิล โดย บิงเกอร์ต และ ซีเดิล ถือว่าเป็นคู่หูที่น่ากลัวมากในยุโรปยุคนั้น
และแน่นอนการที่ทีมเต็มไปด้วยนักเตะชั้นยอด ทำให้ระดับทีมในลีกของซาร์ลันท์มันห่างกันเกินไป บวกกับความต้องการของ กิลแบร์ กรันด์วัล ข้าหลวงจากฝรั่งเศสที่ดูแลซาร์ลันท์ อยากจะใช้การกีฬา เป็นเครื่องมือสั่งสอนพวกเยอรมันพอดี จึงได้เชิญทีม ซาร์บรูคเคน ไปเล่นในดิวิชั่น 2 ของลีกฝรั่งเศส ( แทนที่ทีม AS Angoulême ที่ถูกบังคับให้ถอนทีม ในฤดูกาล 1948-1949 ) และเปลี่ยนชื่อเป็น เอฟซี ซาร์บรูค
แม้พวกเขาได้ไปผจญภัยในลีกของฝรั่งเศส แต่ก็ไม่ใช่เรื่องยากของพวกเขา เอฟซี ซาร์บรูค ผู้มาจากต่างแดน ไล่ถล่มคู่แข่งได้ทุกเกม ทุกสนาม ก่อนที่จะคว้าแชมป์ดิวิชั่น 2 ฝรั่งเศสไปอย่างง่ายดาย ความเก่งของพวกเขาดันไปเตะตา จูลส์ ริเมต์ ประธานสหพันธ์ฟุตบอลฝรั่งเศส และฟีฟ่าในตอนนั้น พยายามพลักดันให้ทีม ซาร์บรูคดคน ย้ายมาเล่นในลีกฝรั่งเศสถาวร โดยเข้ามาเป็นหนึ่งในสมาชิกของสหพันธ์ฟุตบอลฝรั่งเศส
แต่ก็แน่นอนครับ ทีมในฝรั่งเศสส่วนใหญ่ไม่พอใจการกระทำของ จูลส์ ริเมต์ ทำให้เขาประกาศลาออกทันที เลยส่งผลให้ทีม ซาร์บรูคเคน ต้องกลับไปเล่นในลีกของพวกเขา แต่พวกเขามองว่าพวกเขามาไกลเกินกว่าจะหันหลังกลับไปที่เดิม ทำให้ในปี 1949 สโมสรได้จัดแข่งขัน “ซาร์ลันท์คัพ” ขึ้นมา โดยเป็นการเชิญสโมสรจากทั่วยุโรป 14 ทีม และอีก 1 ทีมจากอเมริกาใต้ มาเตะแบบรอบแรกพบกันหมด ก่อนจะคัดเอา 4 อันดับทีมแรก ไปเตะรอบน็อคเอาท์ หรือจะเรียกง่ายๆว่า เป็นต้นแบบของรายการยูฟ่า แชมเปียนส์ลีกในปัจจุบัน
ปละก็แน่นอนว่าทีม ซาร์บรูคเคน ไล่ถล่มทีมจากต่างแดนอย่างเหนือชั้น ก่อนจะเอาชนะ แรนส์ จากฝรั่งเศสได้ในนัดชิงชนะเลิศ หลังจากทัวร์นาเมนต์นี้ ทีมซาร์บรูคเคน ยังคงเดินหน้าลงแข่งขันกระชับมิตรกับทีมต่างๆอย่างต่อเนื่อง พวกเขาบุกไปเอาชนะลิเวอร์พูลถึงถิ่น, ชนะทีมดาราคาตาลัน ( ทีมรวมระหว่างบาร์เซโลน่า และเอสปันญอล ) และยังไปตบ เรอัล มาดริด ถึงที่บ้านไป 4-0
ต่อมาในปี 1955-1956 ยูฟ่าได้จัดการแข่งขันรายการ ยูโรเปียนคัพ เป็นฤดูกาลแรก ยูฟ่าได้เชิญทีมแกร่งจากแต่ละชาติ และแน่นอนทีมซาร์บรูคเคน ก็เป็น 1 ในนั้น ก่อนที่พวกเขาจะทำการชนะ เอซี มิลาน ถึงบ้านด้วยสกอร์ 3-4 แต่ก็น่าเสียดายที่พวกเขาเปิดบ้านพ่ายให้กับเอซี มิลาน แต่แม้ถึงอย่างนั้นมันก็มากพอที่จะพิสูจน์ว่าชาวซาร์ลันท์ภูมิใจมากที่พวกเขามีทีมฟุตบอลที่ยอดเยี่ยม
ไม่แม้แต่ระดับสโมสรสรเท่านั้น..
ทีมชาติของเรา
ในด้านของทีมชาติก็แน่นอนพวกเขาก็เติบโตไปพร้อมกับระดับสโมสร พวกเขาก่อตั้งสมาคมฟุตบอลแห่งซาร์ลันท์ในปี 1948 และก็ไปสมัครเป็นสมาชิกของฟีฟ่า และก็ได้รับการรับรองในปี 1950 และนี้ก็เป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราว “ทีมชาติซาร์ลันท์” ภายใต้การนำของ เฮอร์มันน์ นอยแบร์เกอร์ ประธานสมาคมที่ได้รับตำแหน่งตอนปี 1950
22 พฤศจิกายน ค.ศ. 1950 เกมนัดแรกในหน้าประวัติศาสตร์ก็เกิดขึ้น พวกเขาเปิดบ้านต้อนรับ ทีมสวิตเซอร์แลนด์ บี และก็แน่นอน นักเตะแกนหลักของทีมมาจากสโมสรซาร์บรูคเคน ที่อยู่ในสนาม 7 คนจาก 11 ตัวจริง และพวกเขาก็ไม่ทำให้ผิดหวัง ด้วยการถล่มผู้มาเยือนถึง 5-2
แต่ถึงแม้กระนั้นแล้วทีมส่วนใหญ่ที่พวกเขาเจอต่อมาเป็นทีมชุดบี หรือนักเตะสำรองทั้งนั้น แม้จะได้ลงเล่นในระดับนานาชาติแต่พวกเขาก็ยังไม่พอใจอยู่ดี จนมาถึงปี 1953 สวิตเซอร์แลนด์ได้เป็นเจ้าภาพการแข่งขันฟุตบอลโลกและยังเป็นเกมแรกหลังจากจบสงครามโลกครั้งที่ 2 อีกด้วย ด้วยเหตุผลนี้ทำให้ ซาร์ลันท์ ได้ลงเล่นในเกมการแข่งขันอย่างเป็นทางการครั้งแรก แต่ทุกอย่างก็ไม่ได้สวยงามเสมอไป ทีมชาติของพวกเขาถูกจับมาอยู่ในกลุ่มเดียวกับ เยอรมันตะวันออก และนอร์เวย์ โดยการคัดรอบนี้จะเอาแค่แชมป์ของกลุ่มเท่านั้น
สุดท้ายแล้วด้วยฟอร์มของเยอรมันตะวันออกในตอนนั้นก็แข็งแกร่งไม่แพ้กัน โดยผลในครั้งนั้นทีมชาติซาร์ลันท์จบอันดับที่ 2 ของกลุ่ม พ่ายแพ้ต่อเยอรมันตะวันออก แต่ในทัวร์นาเมนนี้ก็ทำให้ผู้ชม ได้รู้จักทีมชาติซาร์ลันท์ แต่น่าเสียดาย ที่เล่ามามันคือผลงานในช่วงท้ายๆของพวกเขา
สิ่งที่เหลือไว้
1 ปี หลังรอบคัดเลือกฟุตบอลโลก ฝรั่งเศส และเยอรมันตะวันตก ตัดสินใจปลดแอกพวกเขาจากการเป็นเมืองขึ้น และเปิดโอกาสให้ตั้งตนเป็นประเทศใหม่ ดูเหมือนจะเป็นเรื่องดีใช่ไหมครับ? แต่ความจริงไม่ได้เป็นอย่างที่คิด เพราะประชาชนชาวซาร์ลันท์ส่วนใหญ่ ไม่เห็นด้วยกับการประกาศเอกราช อันที่จริงแล้วชาวซาร์ลันท์ก็มีความเป็นเยอรมันในตัว เห็นได้จากตอนที่แพ้ เยอรมันตะวันตกในฟุตบอลโลกรอบคักเลือก นักเตะบางส่วนกลับยินดีที่อดีตชาติของเขาได้เข้าไปเล่นในรอบสุดท้าย
และในเมื่อพวกเขาไม่ต้องการเป็นเอกราช พวกเขาก็ได้ขอกลับไปอยู่กับเยอรมันตะวันตก การลงมติครั้งนั้นผลออกมาตามคาด ซาร์ลันท์ได้สิ่งตามที่ขอในเดือน มกราคา ปี 1957 และนั้นก็ส่งผลให้เป็นจุจบของ ทีมชาติซาร์ลันท์ ทันทีที่ดินแดนกลายเป็นส่วนหนึ่งของเยอรมันตะวันตก สมาคมฟุตบอลซารฺลันท์ ก็หลุดออกจากสมาชิกของฟีฟ่าทันที
ทำให้ทีมชาติของพวกเขามีอายุสั้นๆในช่วงปี 1950-1956 เท่านั้น แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะมีเรื่องแย่ๆทั้งหมด เมื่อ 18 ปีต่อมา เฮอร์มุต โชน อดีตกุนซือของทีมชาติซาร์ลันท์ ก็กลายเป็นที่รู้จักไปทั่วโลกด้วยการพาเยอรมันตะวันตก คว้าแชมป์โลกเป็นสมัยที่ 2 ในปี 1974 และในอีก 1 ปีต่อ มา
เฮอร์มันน์ นอยแบร์เกอร์ อดีตนายากสมาคมฟุตบอลซาร์ลันท์ ยังได้รับเลือกให้ไปเป็นประธานสหพันธ์ฟุตบอลเยอรมัน โดยในช่วงเขาดำรงตำแหน่ง เยอรมันตะวันตกสามารถคว้าแชมป์ยุโรปและแชมป์โลกอย่างละ 1 สมัย พร้อมรองแชมป์โลกอีก 2 ครั้ง เลยให้ทำชื่อของ “ซาร์ลันท์” ยังพอมีตัวตนอยู่บ้าง ในหน้าประวัติศาสน์ของโลกลูกหนัง